วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ฮุนไดคืนสังเวียนไทยเจอตอ แอคคอร์ดใหม่ขวางเต็มคัน!

ข่าวในประเทศ - ค่ายรถแดนกิมจิ “ฮุนได” เปิดตัวกับสื่อมวลชนครั้งแรก ประกาศแผนหวนคืนตลาดไทยอีกครั้ง วางกลยุทธ์ชูสินค้าคุณภาพ เปี่ยมสมรรถนะ และบริการหลังการขาย เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นแบรนด์สินค้าหรู โดยเน้นนโยบายสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “Red Carpet Strategy” และเลือกเปิดตัวกับรถยนต์ 3 แบบ 3 สไตล์ เก๋งขนาดกลาง “โซนาต้า” , เอสยูวีรุ่น “ซานตาเฟ่” และ “คูเป้” สปอร์ตขนาดเล็ก แต่งานนี้ไม่หมูแน่นอน เพราะโซนาต้าเก๋งตัวธงต้องเจอกับตอขนาดใหญ่ “ฮอนด้า แอคคอร์ด” ที่เตรียมจะเปิดตัวโมเดลใหม่ปลายปีนี้ ซึ่งในต่างประเทศได้เริ่มมีภาพ Spy Short หลุดออกมาแล้ว ขณะที่ “โตโยต้า คัมรี” อาจจะไม่ใหม่สดเท่า แต่ก็ฝ่าด่านเจ้าตลาดลำบาก แถมสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อจังหวะการเปิดตัวทำตลาด ทั้งตลาดรถยนต์ไทยชะลอตัว เศรษฐกิจดิ่งเหว และการเมืองผันผวนหนัก บอกได้คำเดียวการหวนคืนตลาดไทยคราวนี้ของฮุนไดเหนื่อนแน่!!

โยชิซึมิ คูราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด
วานนี้ (24 ก.ค.) นับเป็นการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนครั้งแรกของค่ายรถ “ฮุนได” หลังจากที่หวนคืนสู่ตลาดไทยอีกครั้ง ภายหลังได้มีการแต่งตั้งให้โซจิทสึ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น บริษัทเทรดดิ้งข้ามชาติรายใหญ่ เป็นผู้จัดจำหน่ายและผลิตรถยนต์ฮุนไดในไทย ภายใต้การดำเนินงานในนามบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งแต่เมื่อกลางปี 2549 ที่ผ่านมา

“ฮุนได ประเทศไทย อยู่ในขั้นเตรียมความพร้อม ในการบุกตลาดไทยอย่างเต็มรูปแบบช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้แน่นอน โดยได้เตรียมสินค้าคุณภาพ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก ทั้งรถเก๋ง, รถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือเอสยูวี (SUV) และรถสปอร์ตขนาดเล็ก โดยวางกลุ่มลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่ และลูกค้ากลุ่มครอบครัว ที่ต้องการรถให้ความคุ้มค่าสูงสุดในการใช้งานจริง และนโยบายที่สำคัญที่สุดของเรา คือ การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งในแง่การบริการหลังการขาย และการเตรียมความพร้อมด้านอะไหล่”

นั่นคือคำกล่าวของ “โยชิซึมิ คูราตะ” ประธาน บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมกับเปิดเผยถึงแผนการทำตลาดในไทยว่า กลยุทธ์ที่สำคัญในการเปิดตลาดฮุนไดในไทยครั้งนี้ คือนโยบายด้านการบริการหลังการจำหน่าย ภายใต้แนวคิด “Red Carpet Strategy” เน้นความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษเมื่อมาเป็นลูกค้าฮุนได โดยจัดตั้งโชว์รูมและศูนย์บริการ ที่บริหารงานโดยตรงจากทีมงานฮุนได พร้อมทั้งแต่งตั้งผู้แทนจำหน่าย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดใหญ่ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

เหนื่อย!! – “โซนาต้า” รถตัวธงของฮุนไดในการหวนคืนตลาดไทย ต้องเจอกับตอใหญ่และแข็งแกร่งอย่างยิ่ง “ฮอนด้า แอคคอร์ด” ซึ่งจะเปิดตัวโมเดลใหม่ปลายปีนี้ ซึ่งรูปลักษณ์ว่ากันว่าจะไม่แตกต่างจาก “แอคคอร์ด คูเป้ คอนเซ็ปต์” เท่าไหร่นัก
“เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ในด้านการบริการให้กับลูกค้า เราได้เตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบริษัทในปีที่แล้ว ด้วยการส่งทีมงานไปอบรมที่ประเทศเกาหลีใต้ และสำนักงานภูมิภาคที่มาเลเซียอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ ของบริษัทแม่ มาปรับใช้กับประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นประมาณช่วงเดือนหน้าเป็นต้นไป บริษัทแม่จะส่งช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญ เข้ามาอบรมทีมช่างของไทยก่อนเปิดตัวอีกด้วย”

สำหรับรถยนต์ที่จะเปิดตัวทำตลาดในไทย ช่างไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คูราตะกล่าวว่าเบื้องต้นจะเปิดตัว 3 รุ่น ได้แก่ “ฮุนได โซนาต้า” ซึ่งจะทำการประกอบในไทยที่โรงงานธนบุรีประกอบยนต์ ส่วนอีกสองรุ่นที่เหลือ “ฮุนได ซานตาเฟ่” รถยนต์อเนกประสงค์ หรือเอสยูวี (SUV) และ “ฮุนได คูเป้” รถสปอร์ตขนาดเล็ก จะนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้

“ฮุนไดในตลาดโลกได้พัฒนาไปมาก ทั้งในเรื่องของรูปแบบการดีไซน์ รวมถึงการบริการหลังการขาย จึงมั่นใจว่าเมื่อรวมเข้ากับคุณภาพสินค้า และการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าตามแนวทางที่เราวางไว้ จะช่วยให้ลูกค้าไทยเปิดใจ และยอมรับฮุนไดเข้าไปเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อยู่ในใจของลูกค้าได้อย่างแน่ นอน”คูราตะสรุป

ฮุนได คูเป้ รถสปอร์ตขนาดเล็ก จะนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้
ส่วนรายละเอียดของรถ ยนต์ฮุนไดทั้ง 3 รุ่น “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้เสนอรายงานไปแล้ว โดยฮุนได โซนาต้า เป็นเก๋งขนาดกลางกลุ่มเดียวกับ รถยนต์ Toyota คัมรี” และ รถยนต์ Honda แอคคอร์ด” โดยเครื่องยนต์ที่จะทำตลาดน่าจะเป็น บล็อกเบนซิน 4 สูบ ขนาด 2000 ซีซี 143 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซิน 2400 ซีซี 161 แรงม้า

ในรุ่นต่อมา ฮุนได ซานตาเฟ่ (Hyundai Santa Fe) เป็นรถเอสยูวีที่พัฒนามาจากพื้นฐานเดียวกับรุ่นโซนาต้า ซึ่งรุ่นมาตรฐานจะมากับเบาะนั่งแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง ตัวหลักทำตลาดจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน วี6 ทวินแคม 24 วาล์ว 2700 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VTC ให้กำลังสูงสุด 189 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แต่ในยุโรปจะมีรุ่นเทอร์โบดีเซลแบบคอมมอนเรล CRDi บล็อก 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบมีครีบแปรผัน (VGT) ขนาด 2200 ซีซี 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที มาเป็นอีกทางเลือก ซึ่งต้องลุ้นว่าฮุนได ประเทศไทย จะกล้านำเข้ามาหรือไม่

สุดท้ายรถสปอร์ต ฮุนได คูเป้ (Hyundai Coupe) หรือที่คนไทยรู้จักกันดีกับชื่อ ฮุนได ทิบูรอน (เวอร์ชั่นจำหน่ายในเกาหลี) เพราะเคยนำเข้ามาทำตลาดในไทย และได้รับการตอบรับอย่างดี โดยรุ่นที่ทำตลาดน่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2000 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า


ฮุนได โซนาต้า ซึ่งจะทำการประกอบในไทยที่โรงงานธนบุรีประกอบยนต์
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า กลยุทธ์การบุกตลาดรถยนต์ไทยของฮุนไดครั้งนี้ จะเน้นการชูสินค้าคุณภาพ เปี่ยมสมรรถนะ และบริการหลังการขาย เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นแบรนด์สินค้าหรู โดยมี “ฮุนได โซนาต้า” เป็นรถธงในการแจ้งเกิดในตลาดไทยคราวนี้

แต่เรื่องนี้ใช่ว่าจะง่าย เพราะนอกจากจะเลือกเปิดตัวทำตลาด ในจังหวะตลาดรถยนต์ไทยชะลอตัว จากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการเมืองผันผวนอย่างหนักแล้ว ยังต้องเจอกับคู่แข่งที่มีความแข็งแกร่งในตลาดเก๋งขนาดกลางกลางอย่างยิ่ง นั่นก็คือ “Honda แอคคอร์ด” และ “โตโยต้า คัมรี”

โดย เฉพาะ “ฮอนด้า แอคคอร์ด” ซึ่งทางฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ได้กำหนดแผนจะเปิดตัวโมเดลใหม่สู่ตลาดไทยปลายปีนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปีหน้า ซึ่งตามรายงานข่าวฮอนด้าได้มีการสั่งชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ ภายใต้รหัสรุ่น “2PX” เพื่อขึ้นไลน์ผลิตจริงแอคคอร์ดโฉมใหม่ประมาณช่วงเดือนตุลาคมนี้ ดังนั้นนับถอยหลังฤกษ์เปิดตัวทำตลาด ก็คงจะประมาณเดือนพฤศจิกายน หรือช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2007 ที่เมืองทองธานีโค้งสุดท้ายของปีนี้

ขณะที่ความเคลื่อนไหวในต่างประเทศของ ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ ได้มีการเผยโฉมสปอร์ตคูเป้ต้นแบบในชื่อ แอคคอร์ด คูเป้ คอน เซ็ปต์ บนเวทีของงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2007 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่าเป็นร่างแรกของรุ่นจำหน่ายจริงของแอคคอร์ดใหม่ สายพันธุ์ที่ 8 และเตรียมเปิดตัวปลายปีนี้ที่สหรัฐอเมริกา

ภาพสปายช็อตของแอคคอร์ดโฉมใหม่ที่แพร่หลายในเว็บไซต์ของต่างประเทศ
จอห์น เมนเดล รองประธานอาวุโสของฮอนด้าสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ต้นแบบรุ่นนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ และอิทธิพลงานออกแบบ ที่จะเกิดขึ้นกับแอคคอร์ดโฉมใหม่ ซึ่งในรุ่นใหม่จะได้รับการพัฒนาให้เพียบพร้อมไปด้วยความเหนือชั้นในด้าน ต่างๆ เช่น ความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ, สมรรถนะ, ความประณีต และรูปทรง
ส่วนรายละเอียดต่างๆ honda ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ มีเพียงระบุว่าจะเริ่มทำตลาดด้วยรุ่น 4 สูบ ที่คาดว่าน่าจะยังอยู่ในพิกัด 2400 ซีซี เหมือนกับรุ่นปัจจุบัน โดยที่เครื่องยนต์วี6 จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Variable Cylinder Management (VCM) รุ่นใหม่ ซึ่งสามารถลดจำนวนการจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้เหลือ เพียง 3 สูบจาก 6 สูบ โดยอัตโนมัติในช่วงที่ใช้ความเร็วคงที่ เพื่อความประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีเครื่อง 2000 ซีซี ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกด้วย

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีภาพ Spy Short ของฮอนด้า แอคคอร์ด โฉมใหม่ ที่จะทำตลาดในสหรัฐอเมริกา หลุดออกมาทางเว็บไซต์ต่างประเทศ ซึ่งจากรูปลักษณ์ที่เห็นในภาพแตกต่างจากรุ่นต้นแบบ แอคคอร์ด คูเป้ คอนเซ็ปต์ เพียงเล็กน้อย โดยในรุ่นซีดานและคูเป้มีความต่างของรายละเอียดรูปลักษณ์ด้านหน้า ชนิดที่เรียกว่าใช้ชิ้นส่วนตัวถังที่เป็นเปลือกนอก เช่น ฝากระโปรง หรือไฟหน้าร่วมกันไม่ได้เลย แม้ว่าจะมีโครงสร้างของตัวถังช่วงด้านหน้าจนถึงเสากระจกบังลมหน้าเหมือนกัน ก็ตาม

พร้อมกันนี้ได้มีราย ละเอียดเพิ่มมาอีกเล็กน้อยว่า จะมีขาย 2 รุ่นสำหรับเวอร์ชันอเมริกัน คือเครื่องยนต์ 4 สูบ 2400 ซีซี ที่ได้รับการอัพเกรดความแรงขึ้นไปเป็น 180 แรงม้า และรุ่นวี6 ขนาด 3500 ซีซีบล็อกใหม่ ที่ว่ากันว่าจะมีแรงม้าในระดับ 270-280 ตัวเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องการแบ่งโซนทำตลาด ในตอนนี้เกิดมีข่าวลือออกมาอีกกระแสว่า ในแอคคอร์ดใหม่รุ่นนี้อาจจะไม่มีการแบ่งออกเป็น 2 เวอร์ชัน คือ สหรัฐอเมริกา-ตลาดโลก (รวมถึงไทย) และยุโรป-ญี่ปุ่นเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่จะเป็น Global Accord ซึ่งมีรูปลักษณ์เดียวแต่ขายทั่วโลก เพียงแต่จะต่างกันแค่ในเรื่องของตัวถังในการทำตลาด โดยในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียจะมีรุ่นซีดานและคูเป้ แต่ญี่ปุ่นและยุโรปจะมีรุ่นซีดานและสเตชันแวกอนเป็นตัวทำตลาด

นี่ คือข้อมูลล่าสุดของ “ฮอนด้า แอคคอร์ด” โฉมใหม่ ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหน ต้องรอชมปลายปีนี้หรือไม่เกินต้นปีหน้า แต่ที่แน่ๆ ถือเป็นตอขนาดใหญ่ ที่จะขวางการแจ้งเกิดของ “โซนาต้า” เก๋งตัวธงของฮุนไดในการหวนคืนตลาดไทยคราวนี้ ขณะที่ “โตโยต้า คัมรี่” หากเทียบกับแอคคอร์ดอาจจะไม่ใหม่สดเท่า แต่ความเป็นเจ้าตลาดและเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน บอกได้คำเดียวว่า…..งานนี้ “ฮุนได” เหนื่อยแน่!!

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

ไม่มีความคิดเห็น: