วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ซื้อ "รถมือสอง" มาแล้ว ต้องทำอะไรบ้าง

ลองคิดดูว่า เมื่อคุณลงทุนซื้อรถยนต์มาใช้สักคัน เป็นคันแรกในชีวิต แต่ไม่ใช่สองคันที่กำลังเป็นสิ่งที่พูดกันอยู่ทั้งเมืองในขณะนี้นะครับ

คือไม่ใช่ฮอนด้าซิตี้และโตโยต้าวิออส ที่เห็นปุ๊บอาจจะหลงรักปั๊บได้ทั้งสองคัน

เพราะรูปร่างน่ารักมาก จนหลายท่านอดใจแทบไม่ไหว

ก็เตือนกันเสียก่อนนะครับ รถเล็กช่วงห่างระหว่างล้อซ้ายกับขวาไม่มากนัก แต่รูปทรงสูงลิ่วอย่างนั้น เป็นสิ่งที่คาดหวังได้เลยแน่นอน ทั้งที่ไม่อยากคาดอยากหวังก็คือ ความโคลงของรถ เมื่อขับเร็วแค่ตามกฎหมายกำหนด และอยู่บนเส้นทางที่มีลมปะทะด้านข้าง เช่น บนทางด่วนบางนา-ชลบุรี หรือทางริมทะเล เช่น ด้านหัวหินลงไปทางใต้

ทั้งสองคันน่าจะโคลงเหมือนกันทั้งคู่

หากคุณไม่อยากให้โคลงนัก ก็อาจจะต้องเปลี่ยน shock absorber และสปริง เพื่อให้มั่นคงขึ้น แต่จะได้ความกระด้างกลับมา เพราะฉะนั้น หากหลวมตัวซื้อไปแล้วก็ทำใจดีกว่าครับ ใช้รถด้วยความเร็วต่ำ หากมีลมปะทะแล้วรถโคลงก็ต้องลดความเร็วลง เพื่อให้ควบคุมง่ายขึ้นเท่านั้นเอง

ว่างๆ จะเขียนเกี่ยวกับการดูลักษณะรถมือสอง เพื่อเดาอาการได้บ้างกันเป็นครั้งคราวครับ

วันนี้ขอไปทางเรื่องการเตรียมรถยนต์ใช้แล้วให้ใช้งานได้ต่อไปอย่างสบายใจบ้างก่อนก็แล้วกัน

มีการเสนอแนะเอาไว้นานแล้วว่า ซื้อรถยนต์ใช้แล้วอายุสักสามปีสี่ปีมาใช้ ควรจะเปลี่ยนของเหลวในรถออกให้หมดเพื่อนับหนึ่งกันใหม่ ของเหลวที่ว่านี่ คืออะไรบ้าง

น้ำมันเครื่อง แน่นอนครับ ควรเปลี่ยนใหม่ ไม่ว่าจะดูว่าน้ำมันนั้นสะอาดมากเพียงไร

เพราะน้ำมันที่สะอาดเอี่ยม อาจจะเป็นน้ำมันที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ หรือเปลี่ยนมานานแล้ว แต่เป็นน้ำมันที่ขาดคุณภาพ ไร้คุณสมบัติในการนำตะกอนมาแขวนลอยในน้ำมัน เพื่อให้ตะกอนเข้าไปค้างอยู่ในกรองน้ำมันเครื่อง หรือไม่มีคุณสมบัติทางการชะล้าง พูดง่ายๆ ว่าเป็นน้ำมันที่เขาเอาไปกรองไปต้มมาให้ใช้กันอีกที แบบน้ำมันปลอมก็ได้ เปลี่ยนออกเสียดีกว่า แล้วเริ่มนับระยะทางกิโลเมตรและวันที่ใช้ใหม่ไปเลย

น้ำมันเบรก ที่อาจจะให้อู่ดีๆ ดูด้วยการตรวจวัดสภาพน้ำมันเบรก หากยังพอใช้ได้ จะใช้ต่อไปก็ได้ แต่หากเปลี่ยนได้โดยไม่เปลืองงบประมาณที่เตรียมไว้นัก ผมว่าเปลี่ยนไปเลยน่าจะดีกว่า

น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย เปลี่ยนไปเลยดีที่สุด เพราะราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับระยะใช้งานที่เกินห้าหมื่นกิโลเมตร

น้ำมันพาวเวอร์พวงมาลัย เปลี่ยนไปดีที่สุดครับ

น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ อันนี้ควรเปลี่ยนใหม่เลย โดยการไล่น้ำมันเก่าออกแล้วใส่น้ำมันใหม่เข้าไปดันความสกปรกออกจากตัว เกียร์เสียให้หมด

แล้วก็มาถึงน้ำระบายความร้อน ที่เราคงต้องพูดกันยาวสักนิดครับ

น้ำระบายความร้อนของรถยนต์อายุสามสี่ปี ที่ผู้ใช้คนแรกมักจะเข้าศูนย์บริการเป็นประจำ ก็จะเป็นน้ำสี สีแดงหรือเขียวก็แล้วแต่ อันเป็นน้ำที่ผสมน้ำยารักษาหม้อน้ำ และช่วยทำให้การเดือดของน้ำเลื่อนอุณหภูมิออกไป ตามด้วยการไม่แข็งตัวของน้ำ

น้ำยานี้เป็นสิ่งสำคัญมากในการรักษาเครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้อะลูมิเนียมเกิดการเป็นตะกรันออกมาจากผิว และช่วยรักษาไม่ให้เหล็กเป็นสนิม

ไม่ว่าท่านจะได้ยินจากใครที่ใดมาก็ตามว่าใช้รถมาเป็นสิบปี เติมน้ำธรรมดาเท่านั้น ไม่เห็นเป็นอะไร อย่าเชื่อครับ

อย่าเชื่อเด็ดขาด

เพราะผู้ที่บอกกับท่านอย่างนั้นมักจะเป็นคนที่ไม่รักรถ ไม่เคยตรวจดูสนิมในระบบระบายความร้อนของรถที่ตัวเองใช้อยู่เลย หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่เคยใช้รถคันใดเกินกว่าสองปี ทำให้ไม่รู้ผลของการใช้น้ำไม่ว่าจะสะอาดอย่างไรใส่เข้าไปในระบบระบายความ ร้อนของรถยนต์

และที่แน่ๆ ก็มักจะเป็นผู้มีความกดดัน ไม่รู้จะระบายออกอย่างไร เลยนำเรื่องราวที่ตัวเองก็ไม่รู้จริงมากล่าวบอกเล่ากับคนอื่น ในที่ที่ทำได้ เพื่ออะไรก็ไม่แน่ชัด แต่อย่าหลงหลวมตัวไปฟังไปเชื่อเข้านะครับ

รถยนต์คันหนึ่งๆ ราคาสูงกว่าการรักษาเครื่องยนต์ด้วยน้ำสะอาดมากมายนัก

ดังนั้น ตรวจดูครับ ถ้าหากน้ำระบายความร้อนของท่านมีน้ำยาอยู่ดีและไม่มีสนิมปรากฏก็ควรเปลี่ยน น้ำยาได้แล้ว เพราะน้ำยานั้นมักจะใช้ได้ทนทานนานประมาณหนึ่งปีหรือสองปีเป็นอย่างมาก

ถ่ายน้ำออกแล้วเปลี่ยนน้ำใหม่ ใช้น้ำสะอาดผสมกับน้ำยาตามสัดส่วนที่ระบุไว้ข้างกระป๋อง อย่าให้มากกว่าที่ระบุไว้นะครับ เพราะน้ำยาล้วนๆ ทั้งหมดเองไม่ได้ช่วยให้ระบายความร้อนได้ดีเท่ากับมีน้ำอยู่ด้วย

เปลี่ยนใหม่นี่จะใช้น้ำยาอะไรผสมก็ได้ แต่ควรจะใช้น้ำยาผสมนะครับ

ผมมักเลือกใช้ Peak หรือน้ำยาของโตโยต้า ฮอนด้า วอลโว่ และเบนซ์ อย่างใดอย่างหนึ่งที่ผมจะเลือกใช้ตามสะดวก คือหาอะไรในสี่ห้าอย่างที่ว่านี่ได้ ก็ใช้อันนั้นแหละครับ เพราะเท่าที่พบมาเป็นน้ำยาที่ใช้ได้กับเครื่องยนต์อะลูมิเนียม และเหล็กเป็นอย่างดีทั้งหมด

ใช้ผสมกับน้ำ ปกติน้ำยาที่ผมบอกจะผสมกับน้ำในอัตราหนึ่งต่อหนึ่ง คือน้ำหนึ่งกระป๋องน้ำยา กับน้ำยาหนึ่งกระป๋อง

และเวลาจะเติมน้ำ หากน้ำลงๆไปก็ใช้น้ำสะอาดจากไหนก็ได้ครับ เติมลงไปเท่านั้นก็พอ ไม่ต้องเลือกน้ำกลั่น น้ำประปา น้ำฝน น้ำกรองอะไรหรอก

ขอให้เป็นน้ำที่สะอาดดีเท่านั้น ก็พอแล้วครับ สำหรับรถมือสอง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เตรียมตัวซื้อรถยนต์อย่างไรดี ?

เตรียมตัวซื้อรถยนต์อย่างไรดี ?

การจะซื้อรถยนต์สักคันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถมือสอง โดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลายยิ่งมีความกังวลว่าตัวเองไม่มีความรู้เลย นอกจากเตรียมเงินแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้าง
บางครั้งก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้อรถประเภทใด ยี่ห้ออะไร สีอะไรดี บางคนถึงกับลงทุนไปดูดวงมาเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณลองมาใช้วิธีนี้ดู แล้วบางทีการซื้อรถสักคันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเลยหากคุณเตรียมพร้อมกับสิ่ง เหล่านี้

ถามตัวเองก่อน

สิ่งแรกที่คุณจะต้องทำในการเตรียมตัวซื้อรถนั่นก็คือการถามตัวเองก่อนว่า คุณมีความจำเป็นในการใช้รถมากน้อยแค่ไหน บ้านคุณอยู่ไกลทำงาน ต้องไปรับลูก หรือแค่เห็นว่ารถรุ่นนี้สวย ความจำเป็นในการใช้รถ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด บางทีนั่งรถไฟฟ้ายังเร็วกว่า

กำหนดเงินที่มีอยู่

ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากทีเดียวหากคุณคิดจะซื้อรถสักคัน เพราะเงินคือสิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าคุณควรจะซื้อรถแบบใด ยี่ห้อใด หากว่าคุณต้องซื้อแบบเงินผ่อนล่ะก็ขอแนะนำว่าคุณต้องดูความสามารถในการผ่อน แต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นค่าดอกเบี้ย ค่าประกันรถที่ต้องจ่ายทุกปี ค่าซ่อมแซม ถึงจะเป็นรถใหม่ เช็คศูนย์ก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น หรือราคาน้ำมันที่แพงขนาดนี้ ตกเดือนนึงคุณต้องจ่ายเท่าไหร่ ลองบวกลบคูณหารแล้วไม่ทำให้คุณเดือดร้อน

ยี่ห้อรถและราคาขายต่อ

มีรถบางยี่ห้อราคาแพงลิบตอนคุณซื้อ แต่พอคุณคิดจะเปลี่ยนยี่ห้อกลับราคาตกอย่างน่าใจหาย จริงๆแล้วเรื่องราคาขายต่อนั้นก็มีปัจจัยหลายข้อ ที่ทำให้ราคาตกไม่ได้ขึ้นอยู่ที่สภาพหรือสมรรถนะของรถเท่านั้น แต่เกี่ยวกับเรื่องของกระแสความนิยม ความดังของยี่ห้อ สัญชาติของยี่ห้อ จำนวนศูนย์บริการ ราคาอะไหล่ ความชินตาที่เห็นบนถนน ความจุกจิกในการใช้งาน รูปลักษณ์ จำนวนคนที่รอซื้อต่อ หรือความยากในการขายต่อ ความใหม่ของยี่ห้อรวม ถึงการล้มหายไปของยี่ห้อ ฯลฯ ล้วนมีผลต่อราคาขายต่อทั้งนั้น ดังนั้นเรื่องยี่ห้อรถและราคาขายต่อนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของคุณเองว่าจะ ตัดสินใจอย่างไร

ควรดูราคาหลายๆแห่งก่อนซื้อ

เพราะว่าแต่ละบริษัทอาจจะมีโปรโมชั่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ อุปกรณ์เสริม เช่น ล้อแม็กซ์ แอร์ วิทยุ กันสนิม ซ่อมฟรี และฟรีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 คุณควรจะลองดูหลายๆแห่งอาจจะได้รถดีราคาไม่แพงมากก็ได้

เช็คราคาอะไหล่และศูนย์บริการ

รถบางยี่ห้อราคาอะไหล่แพงหูฉี่และหายาก มีความลำบากในการซ่อม รวมทั้งค่าซ่อมแพง หรือว่าบางยี่ห้อต้องใช้อะไหล่ของทางบริษัทเท่านั้น รวมถึงเรื่องของศูนย์บริการที่รถบางยี่ห้อมีไม่กี่แห่งอาจจะลำบากในการหา ศูนย์บริการหากคุณอยู่ไกล

เช็คราคาการประกันรถยนต์

< ถ้าคุณจะซื้อรถเก่า ที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 10 ปี บริษัทประกันบางแห่ง จะไม่รับประกันภัยชั้น 1 ให้คุณถ้าเกิดกรณีอุบัติเหตุ จะทำให้คุณต้องเสียเงินมาก

หาข้อมูลเพิ่มเติม

สื่อในปัจจุบันนั้นมีมากมายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรืออินเตอร์เน็ต คุณสามารถเช็คข้อมูลได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับรถที่คุณอยากรู้ แต่ต้องอย่าลืมว่าสื่อเหล่านี้ไม่ได้ถูกต้องไปเสีย100 % คุณอาจจะลองถามเพื่อนที่ใช้รถดูเค้าอาจมีคำแนะนำให้คุณแต่ความคิดส่วนตัว แต่ละคนแตกต่างกันไป นี่อาจจะเป็นเพียงแค่คำแนะนำเบื้องต้นในการซื้อรถยนต์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคุณควรจะถามตัวเองว่าคุณพร้อมแค่ไหนในการซื้อรถยนต์สักคัน?

ที่มา : www.manager.co.th

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ฮุนไดคืนสังเวียนไทยเจอตอ แอคคอร์ดใหม่ขวางเต็มคัน!

ข่าวในประเทศ - ค่ายรถแดนกิมจิ “ฮุนได” เปิดตัวกับสื่อมวลชนครั้งแรก ประกาศแผนหวนคืนตลาดไทยอีกครั้ง วางกลยุทธ์ชูสินค้าคุณภาพ เปี่ยมสมรรถนะ และบริการหลังการขาย เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นแบรนด์สินค้าหรู โดยเน้นนโยบายสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “Red Carpet Strategy” และเลือกเปิดตัวกับรถยนต์ 3 แบบ 3 สไตล์ เก๋งขนาดกลาง “โซนาต้า” , เอสยูวีรุ่น “ซานตาเฟ่” และ “คูเป้” สปอร์ตขนาดเล็ก แต่งานนี้ไม่หมูแน่นอน เพราะโซนาต้าเก๋งตัวธงต้องเจอกับตอขนาดใหญ่ “ฮอนด้า แอคคอร์ด” ที่เตรียมจะเปิดตัวโมเดลใหม่ปลายปีนี้ ซึ่งในต่างประเทศได้เริ่มมีภาพ Spy Short หลุดออกมาแล้ว ขณะที่ “โตโยต้า คัมรี” อาจจะไม่ใหม่สดเท่า แต่ก็ฝ่าด่านเจ้าตลาดลำบาก แถมสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อจังหวะการเปิดตัวทำตลาด ทั้งตลาดรถยนต์ไทยชะลอตัว เศรษฐกิจดิ่งเหว และการเมืองผันผวนหนัก บอกได้คำเดียวการหวนคืนตลาดไทยคราวนี้ของฮุนไดเหนื่อนแน่!!

โยชิซึมิ คูราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด
วานนี้ (24 ก.ค.) นับเป็นการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนครั้งแรกของค่ายรถ “ฮุนได” หลังจากที่หวนคืนสู่ตลาดไทยอีกครั้ง ภายหลังได้มีการแต่งตั้งให้โซจิทสึ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น บริษัทเทรดดิ้งข้ามชาติรายใหญ่ เป็นผู้จัดจำหน่ายและผลิตรถยนต์ฮุนไดในไทย ภายใต้การดำเนินงานในนามบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งแต่เมื่อกลางปี 2549 ที่ผ่านมา

“ฮุนได ประเทศไทย อยู่ในขั้นเตรียมความพร้อม ในการบุกตลาดไทยอย่างเต็มรูปแบบช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้แน่นอน โดยได้เตรียมสินค้าคุณภาพ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก ทั้งรถเก๋ง, รถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือเอสยูวี (SUV) และรถสปอร์ตขนาดเล็ก โดยวางกลุ่มลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่ และลูกค้ากลุ่มครอบครัว ที่ต้องการรถให้ความคุ้มค่าสูงสุดในการใช้งานจริง และนโยบายที่สำคัญที่สุดของเรา คือ การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งในแง่การบริการหลังการขาย และการเตรียมความพร้อมด้านอะไหล่”

นั่นคือคำกล่าวของ “โยชิซึมิ คูราตะ” ประธาน บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมกับเปิดเผยถึงแผนการทำตลาดในไทยว่า กลยุทธ์ที่สำคัญในการเปิดตลาดฮุนไดในไทยครั้งนี้ คือนโยบายด้านการบริการหลังการจำหน่าย ภายใต้แนวคิด “Red Carpet Strategy” เน้นความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษเมื่อมาเป็นลูกค้าฮุนได โดยจัดตั้งโชว์รูมและศูนย์บริการ ที่บริหารงานโดยตรงจากทีมงานฮุนได พร้อมทั้งแต่งตั้งผู้แทนจำหน่าย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดใหญ่ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

เหนื่อย!! – “โซนาต้า” รถตัวธงของฮุนไดในการหวนคืนตลาดไทย ต้องเจอกับตอใหญ่และแข็งแกร่งอย่างยิ่ง “ฮอนด้า แอคคอร์ด” ซึ่งจะเปิดตัวโมเดลใหม่ปลายปีนี้ ซึ่งรูปลักษณ์ว่ากันว่าจะไม่แตกต่างจาก “แอคคอร์ด คูเป้ คอนเซ็ปต์” เท่าไหร่นัก
“เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ในด้านการบริการให้กับลูกค้า เราได้เตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบริษัทในปีที่แล้ว ด้วยการส่งทีมงานไปอบรมที่ประเทศเกาหลีใต้ และสำนักงานภูมิภาคที่มาเลเซียอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ ของบริษัทแม่ มาปรับใช้กับประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นประมาณช่วงเดือนหน้าเป็นต้นไป บริษัทแม่จะส่งช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญ เข้ามาอบรมทีมช่างของไทยก่อนเปิดตัวอีกด้วย”

สำหรับรถยนต์ที่จะเปิดตัวทำตลาดในไทย ช่างไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คูราตะกล่าวว่าเบื้องต้นจะเปิดตัว 3 รุ่น ได้แก่ “ฮุนได โซนาต้า” ซึ่งจะทำการประกอบในไทยที่โรงงานธนบุรีประกอบยนต์ ส่วนอีกสองรุ่นที่เหลือ “ฮุนได ซานตาเฟ่” รถยนต์อเนกประสงค์ หรือเอสยูวี (SUV) และ “ฮุนได คูเป้” รถสปอร์ตขนาดเล็ก จะนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้

“ฮุนไดในตลาดโลกได้พัฒนาไปมาก ทั้งในเรื่องของรูปแบบการดีไซน์ รวมถึงการบริการหลังการขาย จึงมั่นใจว่าเมื่อรวมเข้ากับคุณภาพสินค้า และการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าตามแนวทางที่เราวางไว้ จะช่วยให้ลูกค้าไทยเปิดใจ และยอมรับฮุนไดเข้าไปเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อยู่ในใจของลูกค้าได้อย่างแน่ นอน”คูราตะสรุป

ฮุนได คูเป้ รถสปอร์ตขนาดเล็ก จะนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้
ส่วนรายละเอียดของรถ ยนต์ฮุนไดทั้ง 3 รุ่น “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้เสนอรายงานไปแล้ว โดยฮุนได โซนาต้า เป็นเก๋งขนาดกลางกลุ่มเดียวกับ รถยนต์ Toyota คัมรี” และ รถยนต์ Honda แอคคอร์ด” โดยเครื่องยนต์ที่จะทำตลาดน่าจะเป็น บล็อกเบนซิน 4 สูบ ขนาด 2000 ซีซี 143 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซิน 2400 ซีซี 161 แรงม้า

ในรุ่นต่อมา ฮุนได ซานตาเฟ่ (Hyundai Santa Fe) เป็นรถเอสยูวีที่พัฒนามาจากพื้นฐานเดียวกับรุ่นโซนาต้า ซึ่งรุ่นมาตรฐานจะมากับเบาะนั่งแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง ตัวหลักทำตลาดจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน วี6 ทวินแคม 24 วาล์ว 2700 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VTC ให้กำลังสูงสุด 189 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แต่ในยุโรปจะมีรุ่นเทอร์โบดีเซลแบบคอมมอนเรล CRDi บล็อก 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบมีครีบแปรผัน (VGT) ขนาด 2200 ซีซี 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที มาเป็นอีกทางเลือก ซึ่งต้องลุ้นว่าฮุนได ประเทศไทย จะกล้านำเข้ามาหรือไม่

สุดท้ายรถสปอร์ต ฮุนได คูเป้ (Hyundai Coupe) หรือที่คนไทยรู้จักกันดีกับชื่อ ฮุนได ทิบูรอน (เวอร์ชั่นจำหน่ายในเกาหลี) เพราะเคยนำเข้ามาทำตลาดในไทย และได้รับการตอบรับอย่างดี โดยรุ่นที่ทำตลาดน่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2000 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ DOHC ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า


ฮุนได โซนาต้า ซึ่งจะทำการประกอบในไทยที่โรงงานธนบุรีประกอบยนต์
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า กลยุทธ์การบุกตลาดรถยนต์ไทยของฮุนไดครั้งนี้ จะเน้นการชูสินค้าคุณภาพ เปี่ยมสมรรถนะ และบริการหลังการขาย เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นแบรนด์สินค้าหรู โดยมี “ฮุนได โซนาต้า” เป็นรถธงในการแจ้งเกิดในตลาดไทยคราวนี้

แต่เรื่องนี้ใช่ว่าจะง่าย เพราะนอกจากจะเลือกเปิดตัวทำตลาด ในจังหวะตลาดรถยนต์ไทยชะลอตัว จากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการเมืองผันผวนอย่างหนักแล้ว ยังต้องเจอกับคู่แข่งที่มีความแข็งแกร่งในตลาดเก๋งขนาดกลางกลางอย่างยิ่ง นั่นก็คือ “Honda แอคคอร์ด” และ “โตโยต้า คัมรี”

โดย เฉพาะ “ฮอนด้า แอคคอร์ด” ซึ่งทางฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ได้กำหนดแผนจะเปิดตัวโมเดลใหม่สู่ตลาดไทยปลายปีนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปีหน้า ซึ่งตามรายงานข่าวฮอนด้าได้มีการสั่งชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ ภายใต้รหัสรุ่น “2PX” เพื่อขึ้นไลน์ผลิตจริงแอคคอร์ดโฉมใหม่ประมาณช่วงเดือนตุลาคมนี้ ดังนั้นนับถอยหลังฤกษ์เปิดตัวทำตลาด ก็คงจะประมาณเดือนพฤศจิกายน หรือช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2007 ที่เมืองทองธานีโค้งสุดท้ายของปีนี้

ขณะที่ความเคลื่อนไหวในต่างประเทศของ ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ ได้มีการเผยโฉมสปอร์ตคูเป้ต้นแบบในชื่อ แอคคอร์ด คูเป้ คอน เซ็ปต์ บนเวทีของงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2007 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่าเป็นร่างแรกของรุ่นจำหน่ายจริงของแอคคอร์ดใหม่ สายพันธุ์ที่ 8 และเตรียมเปิดตัวปลายปีนี้ที่สหรัฐอเมริกา

ภาพสปายช็อตของแอคคอร์ดโฉมใหม่ที่แพร่หลายในเว็บไซต์ของต่างประเทศ
จอห์น เมนเดล รองประธานอาวุโสของฮอนด้าสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ต้นแบบรุ่นนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ และอิทธิพลงานออกแบบ ที่จะเกิดขึ้นกับแอคคอร์ดโฉมใหม่ ซึ่งในรุ่นใหม่จะได้รับการพัฒนาให้เพียบพร้อมไปด้วยความเหนือชั้นในด้าน ต่างๆ เช่น ความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ, สมรรถนะ, ความประณีต และรูปทรง
ส่วนรายละเอียดต่างๆ honda ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ มีเพียงระบุว่าจะเริ่มทำตลาดด้วยรุ่น 4 สูบ ที่คาดว่าน่าจะยังอยู่ในพิกัด 2400 ซีซี เหมือนกับรุ่นปัจจุบัน โดยที่เครื่องยนต์วี6 จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Variable Cylinder Management (VCM) รุ่นใหม่ ซึ่งสามารถลดจำนวนการจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้เหลือ เพียง 3 สูบจาก 6 สูบ โดยอัตโนมัติในช่วงที่ใช้ความเร็วคงที่ เพื่อความประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีเครื่อง 2000 ซีซี ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกด้วย

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีภาพ Spy Short ของฮอนด้า แอคคอร์ด โฉมใหม่ ที่จะทำตลาดในสหรัฐอเมริกา หลุดออกมาทางเว็บไซต์ต่างประเทศ ซึ่งจากรูปลักษณ์ที่เห็นในภาพแตกต่างจากรุ่นต้นแบบ แอคคอร์ด คูเป้ คอนเซ็ปต์ เพียงเล็กน้อย โดยในรุ่นซีดานและคูเป้มีความต่างของรายละเอียดรูปลักษณ์ด้านหน้า ชนิดที่เรียกว่าใช้ชิ้นส่วนตัวถังที่เป็นเปลือกนอก เช่น ฝากระโปรง หรือไฟหน้าร่วมกันไม่ได้เลย แม้ว่าจะมีโครงสร้างของตัวถังช่วงด้านหน้าจนถึงเสากระจกบังลมหน้าเหมือนกัน ก็ตาม

พร้อมกันนี้ได้มีราย ละเอียดเพิ่มมาอีกเล็กน้อยว่า จะมีขาย 2 รุ่นสำหรับเวอร์ชันอเมริกัน คือเครื่องยนต์ 4 สูบ 2400 ซีซี ที่ได้รับการอัพเกรดความแรงขึ้นไปเป็น 180 แรงม้า และรุ่นวี6 ขนาด 3500 ซีซีบล็อกใหม่ ที่ว่ากันว่าจะมีแรงม้าในระดับ 270-280 ตัวเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องการแบ่งโซนทำตลาด ในตอนนี้เกิดมีข่าวลือออกมาอีกกระแสว่า ในแอคคอร์ดใหม่รุ่นนี้อาจจะไม่มีการแบ่งออกเป็น 2 เวอร์ชัน คือ สหรัฐอเมริกา-ตลาดโลก (รวมถึงไทย) และยุโรป-ญี่ปุ่นเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่จะเป็น Global Accord ซึ่งมีรูปลักษณ์เดียวแต่ขายทั่วโลก เพียงแต่จะต่างกันแค่ในเรื่องของตัวถังในการทำตลาด โดยในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียจะมีรุ่นซีดานและคูเป้ แต่ญี่ปุ่นและยุโรปจะมีรุ่นซีดานและสเตชันแวกอนเป็นตัวทำตลาด

นี่ คือข้อมูลล่าสุดของ “ฮอนด้า แอคคอร์ด” โฉมใหม่ ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหน ต้องรอชมปลายปีนี้หรือไม่เกินต้นปีหน้า แต่ที่แน่ๆ ถือเป็นตอขนาดใหญ่ ที่จะขวางการแจ้งเกิดของ “โซนาต้า” เก๋งตัวธงของฮุนไดในการหวนคืนตลาดไทยคราวนี้ ขณะที่ “โตโยต้า คัมรี่” หากเทียบกับแอคคอร์ดอาจจะไม่ใหม่สดเท่า แต่ความเป็นเจ้าตลาดและเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน บอกได้คำเดียวว่า…..งานนี้ “ฮุนได” เหนื่อยแน่!!

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

Porsche 911 GT2 : พลังขับเคลื่อนที่เหนือกว่า

ใครที่เป็น แฟนรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางท้ายคงทราบกันดีว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ถ้าพูดถึงสุดยอดความแรงของสายพันธุ์ 911 แล้ว ชื่อที่ถูกเอ่ยขึ้นมาจะไม่ใช่ 911 เทอร์โบเหมือนกับในอดีตอีกต่อไป แต่จะต้องเป็นรุ่น 911 GT2 ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานของรุ่นเทอร์โบ แต่แรงสะใจเพราะมีจำนวนม้าในคอกเพิ่มขึ้นอีกเพียบ แถมยังเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

GT2 โด่งดังมากกับ 911 รุ่นที่แล้วในรหัส 996 เพราะสามารถตอบสนองความต้องการในด้านสมรรถนะที่ไร้ขีดจำกัดของลูกค้าด้วย การก้าวข้ามหัวของรุ่นเทอร์โบ พร้อมกับดันให้รุ่นนี้ตกไปเป็นพระรองของสายพันธุ์ หลังจากที่ชื่อของ 911 เทอร์โบ ครองความเป็นหนึ่งด้านความแรงมานานนับจากรุ่นแรกเปิดตัวในปี 1974

คอน เซ็ปต์ของการพัฒนา GT2 รุ่นนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะพอร์ชกล้าพูดอย่างเต็มปากว่า ‘High Performance and Low Fuel Consumption’ หรือ ‘สุดยอดความแรงแต่มีความสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ’ สวนกระแสความเชื่อแบบเดิมๆ ว่า รถสปอร์ตยังไงก็ต้องกินน้ำมัน ไม่มีทางที่จะประหยัดได้ ซึ่งจากการเปิดเผยของพอร์ชระบุว่าตัวเลขความสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ GT2 ใหม่ทำได้อยู่ในระดับ 12.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 8 กิโลเมตรต่อลิตร ภายใต้การทดสอบของมาตรฐานใหม่ในยุโรปที่เรียกว่า NEDC-New European Driving Cycle

จริงอยู่ที่ไม่ใช่ตัว เลขที่หวือหวาชนิดทำให้คนอ้าปากค้าง แต่ถ้าลองพิจารณาจากประเด็นที่ว่าเป็นตัวเลขที่ได้จากรถสปอร์ตซึ่งวาง เครื่องยนต์ 6 สูบนอน หรือบ็อกเซอร์ แบบทวินแคม 24 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันที่มีความจุกระบอกสูบล 3,600 ซีซี พ่วงเทอร์โบคู่ และมีกำลังสูงสุดมากกว่า 500 แรงม้าแล้ว ตัวเลขตรงนี้ถือว่าน่าพอใจอย่างมากเลยทีเดียว

ในด้านความแรง แม้จะใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ 911 เทอร์โบ แต่พอร์ชก็รีดกำลังเพิ่มขึ้นอีก 50 แรงม้า จนมาอยู่ที่ 530 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 69.3 กก.-ม. ที่ 2,200-4,500 รอบต่อนาที และเมื่อบวกกับน้ำหนักตัวที่เบาเพียง 1,440 กิโลกรัมแล้ว ทำให้ 1 แรงม้าของ GT2 ใหม่ แบกน้ำหนักเพียง 2.72 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งเมื่อส่งกำลังสู่ล้อหลังผ่านทางเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะแล้ว มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ที่ 3.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 328 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แน่ นอนว่าในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างจากรุ่นเทอร์โบแบบเกือบๆ จะชัดเจน เพราะชุดแอโรพาร์ตรอบคันได้รับการออกแบบใหม่เพื่อสร้างความแตกต่าง โดยสิ่งที่จะสังเกตถึงความแจกต่างอย่างชัดเจนสุด คือ ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว และสปอยเลอร์ด้านหลังทรงสูงแบบยึดติดตายตัว และไม่มีการยกระดับขึ้นตามระดับความเร็วเหมือนกับรุ่น 911 เทอร์โบ ขณะที่ระบบเบรกติดตั้งดิสก์ที่ผลิตจากเซรามิก หรือ Porsche Ceramic Composite Brakes (PCCB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ประจำรถยนต์

การเปิดตัวครั้งแรกมีขึ้นที่แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2007 ซึ่งจัดที่ประเทศเยอรมนีระหว่างวันที่ 13-23 กันยายนนี้ และมีค่าตัวอยู่ที่ 131,070 ปอนด์ หรือ 9.17 ล้านบาท และเริ่มส่งมอบรถทั้งรุ่นพวงมาลัยซ้ายและขวาช่วงเดือนพฤศจิกายน

ถือว่าแฟนพอร์ชต้องชั่งใจกันนาน เพราะก่อนที่ GT2 ใหม่จะเปิดตัวออกมาไม่นาน พอร์ชเพิ่งวางตลาด 911 เทอร์โบ เปิดประทุนออกสู่ตลาดรถยนต์ และสุดท้ายคงต้องเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายแพงกว่า แต่ได้รถแรงกว่าและรอนานจนถึงปลายปีเพื่อแลกกับ GT2 ใหม่ หรือว่าอยากหล่อแบบทันทีด้วยความแรงแบบพอประมาณของ 911 เทอร์โบ เปิดประทุน แต่ประหยัดเงินไปได้หลายแสนบาท

ที่ สำคัญตลาดเมืองไทยคงไม่พลาดที่จะนำเข้ามายั่วน้ำลายเศรษฐีเมืองไทยแต่ใครจะ ชิงเปิดตัวก่อนก็ต้องมาลุ้นกันระหว่างบริษัท เอเอเอส ออโต้ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถพอร์ชในไทยกับ ผู้นำเข้าอิสระรายใหญ่อย่างเอส. อี . ซี. กรุ๊ป ส่วนราคานั้นไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ยุบได้อย่างไร

ที่มาจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
---------------------------------------------------

ผมเขียนต้นฉบับตอนนี้ขณะที่อยู่ในกรุงแคนเบอร์รา เมืองหลวงของประเทศออสเตรเลีย และเป็นวันที่ประเทศไทยกำลังมะรุมมะตุ้มกับการติดตามข่าวสารคดียุบพรรค การเมือง ก่อนที่ผมจะขึ้นเครื่องบินเดินทางออกจากประเทศไทย ยังทันได้รับทราบการตัดสินในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว แต่ส่วนของพรรคไทยรักไทยนั้น ผมไปทราบเอาเมื่อเครื่องบินร่อนลงที่สนามบินคิงส์ฟอร์ดสมิธไปแล้ว

ผลการตัดสินจะเป็นอย่างไร เหตุการณ์ต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร ป่านนี้คงเป็นผลที่ได้รับรู้กันด้วยตนเองไปแล้ว ผมจึงไม่ขอเขียนล่วงหน้าให้ผิดพลาด เพราะการเมืองของไทยนั้นพลิกผันกันได้ทุกวินาที

ก่อนผมเดินทางไปกรุงแคนเบอร์รา สัก 3 เดือน ปรากฏว่าที่กรุงแคนเบอร์รา มีลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งการตกลงมาของลูกเห็บในครั้งนั้น รถยนต์มือสองที่ลูกชายของผมใช้อยู่ โดนลูกเห็บตกขณะที่ขับรถบนถนนจนฝากระโปรงหน้าและหลังคา เป็นรอยบุบแบบรอยลักยิ้มเต็มไปหมด

การเดินทางไปกรุงแคนเบอร์ราครั้งนี้ของผม จึงถือโอกาสไปซ่อมรอยบุบรอยลักยิ้มให้กับรถของลูกชายด้วย วิธีการซ่อมของผมคงไม่สามารถทำให้รอยบุบหายไปจนหมดได้ แต่ก็พอที่จะทำให้ร่องรอยความน่าเกลียดลดน้อยลงไปได้บ้าง ด้วยวิธีการง่ายๆ คือเอา "ค้อนหัวกลม" มาเคาะไปตรงรอยบุบเท่านั้นเอง

หลักการเคาะก็ไม่ยากอะไรนัก แต่ที่คนไม่กล้าทำเอง เพราะว่าส่วนใหญ่กลัวว่าหากเคาะหนักหรือแรงเกินไป รอยบุบจะเพิ่มมากขึ้น คนส่วนใหญ่จึงเคาะกันแบบเบามือจนกระทั่งรอยบุบไม่โป่งกลับขึ้นมา ผมก็ซ่อมรถให้ลูกด้วยวิธีการใช้ค้อนเคาะแบบหนามยอกเอาหนามบ่งนั่นละครับ

เพราะขืนไม่เคาะช่วยลูก ค่าซ่อมสีสำหรับวิธีการที่คนไทยเรียกว่า “สาดสีทั้งคัน” ที่นั่น ราคาเกือบ 5,000 เหรียญออสเตรเลีย คิดเป็นเงินไทยก็เอา 30 บาทคูณเข้าไปครับ ราคาค่าตัวรถยนต์ของลูกชายผม 2 คน รวมกันยังมากกว่าค่าทำสีไม่กี่ตังค์เอง จึงต้องไปสอนลูกๆ ให้รู้จักวิธีการช่วยตนเองในการดูแลรักษารถ ทั้งสอนให้รู้จักใช้รถให้อายุยืนยาวไม่ไปหาช่างบ่อย และรู้จักการทำซ่อมด้วยตนเองในกรณีที่ง่ายๆ ซึ่งช่วยประหยัดเงินไปได้มากทีเดียว

ลูกหลานคนอื่นๆ เวลาจะไปเรียนหนังสือต่างประเทศ เขาจะส่งไปฝึกฝนภาษาอังกฤษกันเต็มที่ แต่ลูกๆ ผมก่อนจะไปเรียนต่างประเทศ จะต้องมาฝึกการล้างจาน ฝึกการเสิร์ฟอาหารให้ถูกวิธี ฝึกตัดผมที่โรงเรียนฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่ และต้องฝึกให้รู้จักการซ่อมก๊อกน้ำ, เปลี่ยนหลอดไฟ, ถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ ฯลฯ ฝึกฝนสิ่งที่ว่ามาเพื่อทำด้วยตนเอง เพื่อเป็นการประหยัดเงินที่พ่อแม่ไม่มีปัญญาส่งเสียเหมือนลูกคนอื่นเขา ลูกผมจึงช่วยตนเองได้มากเมื่อไปอยู่ต่างประเทศ นานๆ ผมก็ไปติวกวดวิชาเพิ่มเติมให้สักทีอย่างนี้ละครับ

อยู่ที่โน่นก็มีปัญหาที่ลูกคนเล็กผมถามเกี่ยวกับรถโฮลเดน คอมมอร์ดอร์ ของเขาว่า ทำไมยางล้อหน้าขวาถึงซึมอ่อนอยู่เรื่อย ตรวจเช็คทุกสัปดาห์จะพบว่าลมหายไปประมาณ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เคยเอาไปให้ช่างที่รู้จักกันถอดยางออกมาตรวจดู ก็ไม่พบรอยรั่วแต่อย่างใด เสียค่าถอดตรวจไปตั้ง 10 เหรียญแน่ะ ขนาดสนิทกันนะเนี่ย

ผมจึงจัดการให้ลูกถอดยางออกมาจากตัวรถ เอายางทั้งกระทะนั่นละครับมาเติมลมอัดเข้าไปด้วยเครื่องปั๊มลมประจำรถจน แน่นเต็มที่เครื่องปั๊มอัดไม่เข้า ก็ประมาณสัก 40 กว่าปอนด์/ตารางนิ้วเห็นจะได้ แล้วจึงเอาสระว่ายน้ำแบบยางพลาสติกกลมๆ ที่เด็กๆ เล่นกันตามสนามหญ้ามาใส่น้ำให้เต็ม จากนั้นก็เอายางทั้งกระทะกดลงไปให้จมในสระน้ำเด็กเล่นนั้น เอาผ้ามาลูบล้างที่ยางกับกระทะให้เกลี้ยงเกลา เพื่อเป็นการรอเวลาให้ฟองอากาศที่อาจจะติดค้างหลงเหลืออยู่ตามซอกหลืบของ ยางผุดขึ้นมาให้หมด

ทิ้งรอเวลาสักพักหนึ่งก็พบว่ายังมีฟองน้ำผุดขึ้นมาเป็นสายไม่ หยุด ผมจึงชี้ให้ลูกดูและบอกว่ายางรั่วแน่นอน แล้วจึงเอาปากกาเมจิคมาขีดวงรอบรอยที่ฟองอากาศผุดขึ้นมา พอเอายางขึ้นมาจากอ่างน้ำและช่วยกันใช้แว่นขยายส่องดู จึงพบว่ามีโลหะคล้ายเข็มหมุดเล็กๆ ฝังอยู่กับเนื้อยาง

แรกทีเดียวลูกชายผมจะเอาคีมมาคีบเข็มหมุดอันนั้นออก แต่ผมห้ามเอาไว้ และแนะนำว่าให้ทำเครื่องหมายบอกตำแหน่งให้ดี แล้วเอากลับไปให้ช่างจัดการปะยางและคีบเอาเข็มหมุดออกให้หมด หรือจะทำเองก็ให้ไปหาซื้อน้ำยาอุดรอยรั่วมา 1 กระป๋อง (ราคาประมาณ 15 เหรียญ หรือ 450 บาท)

และถ้ายังต้องใช้ยางไปอีกนานไม่น้อยกว่า 1 ปี ก็ให้เอาน้ำยาฉีดอัดเข้าไปตรงบริเวณหัวจุ๊บที่เติมลม แล้วจึงเอาคีมดึงเข็มหมุดออกมา น้ำยาจะไปอุดรอยรั่วที่โดนเข็มหมุดแทง แต่ต้องรับรู้ว่าหากขับรถเร็วเมื่อใด อาการพวงมาลัยสั่นอาจจะเกิดขึ้นได้ ไม่ต้องตกใจและไปหาทางแก้ให้เสียเงินเปล่า

แต่หากจะต้องเปลี่ยนยางในช่วงเร็วๆ นี้ ก็ปล่อยวางมันไว้บ้าง แต่หมั่นตรวจเช็คลมยางบ่อยๆหน่อย เฉพาะเส้นที่มีปัญหา เอาชนิดวันเว้นวันก็ได้ อ่อนลงสัก 2 ปอนด์/ตารางนิ้ว ก็เอาที่เติมลมประจำรถมาเติมเข้าไปให้แข็งกว่าเส้นอื่นสัก 2 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ใช้ไปอย่างนี้ก็พอทนได้อีก 2-3 เดือน แล้วค่อยเปลี่ยนยางใหม่เท่านั้นเอง

วิธีการอย่างนี้ ผมไม่แนะนำสำหรับคนที่ต้องขับรถไปในที่เปลี่ยวบ่อยๆ หรือผู้ที่ต้องขับรถเดินทางไกลเป็นระยะทางยาวๆ ต่อเนื่องนะครับ


วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ทำอย่างไรจึงใช้ 'รถมือสอง' ได้ทน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : “ซื้อรถมือสองมา ก่อนใช้งาน จะต้องทำอย่างไรหรือทำอะไรบ้างจึงจะใช้ได้อย่างทนทานคุ้มค่า คุ้มราคา” เป็นคำถามจากผู้ใช้รถที่ดูน่าจะจะตอบได้ไม่ยากนัก แต่เอาเข้าจริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะตอบกันได้อย่างถูกต้องตรงตามที่ผู้ถามต้องการ

โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องรถยนต์มาก่อนเลย และยิ่งยากเข้าไปใหญ่ถ้ารถคันนั้นจะต้องเป็นคันแรกในชีวิต แต่ก็เป็นคำถามที่น่าสนใจโดยเฉพาะกับช่วงเวลาของภาวะที่เป็นขาลงเสียไปหมด ทุกอย่าง

ถ้าเป็นรถใหม่ก็ไม่ต้องคิดอะไรกันมาก ศูนย์บริการมีหน้าที่ดูแลและพร้อมที่จะให้คำตอบอยู่แล้วแต่การซื้อรถมือสอง คันแรกคงมีน้อยรายที่จะนำรถเข้าไปใช้บริการในศูนย์บริการ จะใช้อย่างไรให้ทนคงต้องข้ามขั้นตอนจากการเลือกซื้อรถไปเลย เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ถ้าเริ่มต้นกันตั้งแต่นำรถออกจากเต็นท์รถหรือจากเจ้าของรถคันเดิม

อย่างแรกเลยก็อยากจะให้บอกตนเองก่อนว่ารถที่เราซื้อมานั้นดีแล้ว ชอบแล้ว ไม่ต้องไปฟังเสียงนกเสียงกา ว่ารถที่เราซื้อมานั้น อดีต(ชื่อเสียง)เป็นอย่างไร อนาคต(ขายต่อ)จะเป็นอย่างไร สร้างความมั่นใจให้กับตนเองเป็นอันดับแรก เมื่อเรามั่นใจว่ารถที่เราขับนั้นดีทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็น เรื่องที่ไม่ยากจะแก้ไข

รับรถมาวันแรกก็เพียงตรวจความพร้อมของรถว่าพร้อมที่จะออกไปวิ่งบนถนนหรือไม่ เบรกดี เกียร์ คลัตช์ เข้าได้ดีเหมาะสม ไฟเบรกไฟหรี่ไฟเลี้ยว ไฟหน้าไฟสูงไฟต่ำ เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่าย ไฟเตือนบนหน้าปัดทำงานเป็นปกติ

ถ้าที่ว่ามานั้นถูกต้องสมบูรณ์ก็สบายใจได้แล้วว่าได้รถที่ดีมา จากที่จอดในเต็นท์หรือสถานที่ซื้อขาย ในระยะทางที่ขับไปนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม อาจจะมีเสียงดังเกิดขึ้นในบางจุด เช่น เบาะนั่ง ตัวถัง ช่วงล่าง ก็อย่าเพิ่งไปตกอกตกใจหวาดระแวงว่าจะเป็นโน่นเป็นนี่ จดบันทึกเอาไว้ก่อนว่าเสียงเหล่านั้นเกิดที่จุดใดของรถ ภายในรถ นอกตัวรถ

ขับจนถึงที่พักหมั่นสังเกตมาตรวัดบนแผงหน้าปัดเอาไว้ว่า มีอะไรผิดปกติไหม ถ้ามีก็จดไว้ ในช่วงที่ขับวันแรกครั้งแรกนั้น พยายามขับให้นาน แต่ไม่ต้องเร็ว ใช้องค์ประกอบทุกอย่างที่มีในรถ เช่นถ้าเป็นเกียร์ธรรมดา มีห้าเกียร์ก็ใช้ให้ครบ ไล่ไปจากเกียร์หนึ่งสองสามจนถึงห้าตามความเร็วของเครื่องยนต์ แล้วเปลี่ยนกลับห้าสี่สามสองหนึ่ง มีข้อวิตกอะไรจดบันทึกเอาไว้

มาถึงขั้นนี้จนขับเข้าบ้านได้แล้วก็สบายใจว่าได้รถที่ดี ต่อไปก็เป็นเรื่องที่ต้องมาพิจารณากันว่าจะต้องดูแลอะไร เริ่มที่ไหนก่อน ควรจะเริ่มที่ระบบความปลอดภัย เท่าที่ขับมาต้องถามตัวเองว่าเบรกเป็นอย่างไร พอใจไหม

ระบบพวงมาลัย การทรงตัวเอาแค่นี้ก่อน ถามตนเองหลายๆ ครั้งว่าพอใจไหม มั่นใจไหมว่าในสภาพที่ขับอยู่นั้น เราจะสามารถควบคุมรถได้อยู่มือหรือไม่ ถ้าไม่มั่นใจก็ต้องถามตัวเองว่าจากระบบอะไรแล้วค่อยตรวจดูตามนั้นแยกเป็น เรื่อง ถ้าหากได้รถแล้วขับเข้าอู่บอกช่างว่าช่วยตรวจดูให้หน่อยเพิ่งซื้อรถมา ช่างได้ยินอย่างนี้ก็จะยิ้มว่าหมูเข้าเล้าแล้ว ถ้ารู้จักสังเกตอาการที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะมีสิ่งที่ต้องซ่อมต้องแก้ไข ก็ยังมีข้อมูลพอที่จะเอาไปต่อรองกับช่างให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลงได้

จากระบบความปลอดภัย ก็มาดูว่าระบบใดของเครื่องยนต์ ถ้าเสียหายแล้วทำให้ต้องเสียเงินซ่อมมากๆ จนหน้ามืด ก็จะมีอยู่แค่สองระบบคือระบบระบายความร้อนกับระบบหล่อลื่นหรือน้ำมันเครื่อง เรื่องนี้ก็ไม่ยาก เริ่มที่การตรวจดูสีของน้ำในหม้อน้ำในหม้อพัก สายพานขับปั๊มน้ำ ท่อยางที่น้ำต้องไหลผ่าน ตรวจดูหาการรั่วซึม ถ้ามีก็แก้ไขไปตามจุดนั้นๆ

น้ำมันเครื่องดูสี ดมกลิ่น ไม่จำเป็นที่ว่าได้รับรถมาแล้วจะต้องรีบไปถ่ายน้ำมันเครื่อง ส่วนใหญ่แล้วผู้ขายมักจะดูแลมาก่อนแล้ว เช่นเปลี่ยนน้ำมันให้ใหม่เพื่อให้ดูว่าเครื่องยังดีอยู่แม้ว่าน้ำมัน เครื่องนั้นจะเป็นแบบราคาถูกๆ แต่ก็เชื่อได้เลยว่าแม้จะเป็นน้ำมันเครื่องราคาถูกก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะ ขับใช้งานได้ไม่ต่ำกว่าสามพันกิโลเมตร ในช่วงสามพันกิโลเมตรนี้มีเวลามากพอที่จะตรวจสอบได้ว่ารถกินน้ำมันเครื่อง หรือไม่ มีจุดรั่วซึมที่ไหนที่ต้องรีบแก้ไขหรือไม่

ระบบความร้อนคือตัวการที่ทำให้ เสียเงินก้อนใหญ่ ฝาสูบโก่งลูกสูบไหม้ แต่ถ้าตรวจดูตามข้างต้นแล้วปัญหาก็จะไม่เกิด น้ำมันเครื่องขาดน้ำมันเครื่องแห้งเป็นสาเหตุต้องทำให้เกิดการยกเครื่อง ลูกสูบติดชาพท์ละลาย ถ้าในระยะสามพันกิโลระดับของน้ำมันเครื่องยังปกติปัญหา ที่จะต้องยกเครื่องก็หมดไป

หัวข้อต่อไปที่จะทำให้ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ก็คือเรื่องของเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโต้ การตรวจสอบด้วยตนเองโดยการขับสักสามพันกิโลเมตร ก็พอแล้วที่จะบอกได้ว่าเกียร์คลัตช์มีปัญหาอะไรหรือไม่

เอาละทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ต้องเสียเงินกันแล้วหลังจากขับแบบรันอินได้สาม พันกิโลเมตร เข้าอู่ควรจะเป็นอู่ที่เราจะต้องพึ่งพาเขาตลอดที่ใช้รถคันนี้ อาจจะเป็นอู่เล็กๆ ไม่น่าเชื่อถือ แต่จะดีกว่าที่จะไปใช้อู่โน้นบ้างอู่นี้บ้าง มั่นใจแล้วว่าอู่นี้พึงพาอาศัยได้ก็แจ้งเขาไปว่าเปลี่ยนของเหลวให้หมด น้ำมันเครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย น้ำหม้อน้ำ น้ำมันเบรก พร้อมให้ตรวจเบรกทั้งสี่ล้อ เท่านี้พอไม่ต้องไปชี้โพรงให้กระรอกว่าเพิ่งซื้อรถมาหรือดูโน่นดูนี่ให้ด้วย เพราะงานเปลี่ยนของเหลวตรวจเบรกก็หมดไปแล้วครึ่งวัน ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายอู่นั้นก็พออยู่ได้ ไม่ต้องหาเรื่องฟันอย่างอื่น

เมื่อทุกอย่างเสร็จตามที่คุณแจ้งให้เขาทำแล้ว ก็จะเริ่มคุ้นเคยกันพอที่จะสอบถามได้บ้างแล้วว่าจุดอื่นๆ มีอะไรต้องทำต้องดูไหม เช่น เสียงดังที่ล้อหน้า ให้เขาวินิจฉัยและตีราคาให้เพื่อที่จะมาทำวันหลัง ครับเท่าที่บอกมาถ้าคุณทำได้ตามนั้น ค่าใช้จ่ายในการดูแลก็จะไม่มากอย่างที่กลัว

คุณก็จะมีอู่หรือช่างที่จะพอ พูดคุยปรับทุกข์เรื่องรถได้ ช่างหรืออู่นั้นก็จะมีลูกค้าขาประจำ และนั่นก็น่าจะบอกได้แล้วว่ารถที่คุณจะใช้ต่อไปนั้น ใช้ได้ทนทานสมกับความต้องการของคุณ

Nissan 350Z

With bags of character, the 350Z is still one of our favourite coupes.

Driving
Beneath the new-in-2007 bonnet bulge of the 350Z sits an exceptional 3.5-litre V6. Revised in ‘07, it produces 309bhp, but more importantly, 90 per cent of its 358Nm of torque output is available from a lowly 2,000rpm. That means impressive mid-range acceleration: we achieved a 30-70mph time of 5.3 seconds. The V6 was also developed to produce a more cultured sound. Press the throttle, and you are rewarded with a deep, bellowing roar from the twin exhausts. It’s tuneful and summons searing acceleration. The Nissan also offers traditional rear-wheel-drive handling, and is hugely involving. The precise steering is weighty and delivers clear feedback, while the powerful Brembo brakes have a firm but progressive pedal. Revised gear linkage means the lever no longer vibrates in your hand, but it still retains a short and precise shift action. However, some severe mid-corner bumps can send shudders through the bodyshell to the cabin. Yet the chassis is well-balanced, easy to control and enormous fun.

Marketplace

The 350Z has always been a great-value sports car. Its blend of power and handling has appealed to those looking for maximum performance per pound. It was revised in 2007, but the styling was largely left well alone. In fact, walk past the Nissan, and you would be hard pressed to spot anything new: only that power bulge gives the game away. Yet it remains a real head-turner. It’s good value too, with bags of performance, an engaging chassis and a lengthy list of standard equipment – in both standard and GT guise. The Nissan’s most obvious rival is Audi’s TT, though the BMW Z4 also offers similarly muscular rear-drive fun. There’s also a Roadster version of the 350Z, as with both its rivals.

Owning
Inside the well laid-out cabin, the thin-rimmed leather steering wheel is great to hold, while the stubby gearlever is positioned close to the driver. There are plenty of neat touches, too, such as the extra instruments on top of the dash and cowled dials ahead of the wheel. Unfortunately, it’s not all good news. You still have to suffer a high-set driving position, as the seat base can’t be adjusted low enough. And there’s very little in the way of cubby space, with no glovebox and extremely small door pockets. Behind the passenger seat is a deep lockable compartment, but it is impossible to access this once on the move. The awkwardly shaped 235-litre load bay also provides restricted storage, although there’s a handy label in the boot showing you how to store two sets of golf clubs. However, the load cover only protects half the space from prying eyes. Refinement is still an issue too; despite a quieter tyre compound and improved drivetrain damping, the 350Z is still quite raucous. Wind noise in particular can be intrusive – combine this with a slightly harsh ride, and the Nissan becomes tiring over long distances. It also isn’t very economical – we averaged 19.8mpg – although retained values are excellent.

source from autoexpress.co.uk

MINI Convertible

Driving
Nimble and well balanced, the MINI is fun at any speed. While the steering is heavy when parking, it provides fabulous feedback through corners. Turn-in is super-sharp and it’s reassuringly accurate on motorways. Refinement is also excellent, as the MINI has the sort of sure-footed stability seen in bigger cars, plus unobtrusive wind and road noise. The ride only becomes objectionably hard on sports-suspended models with bigger wheels. MINIs One and Cooper do strain a little as the 1.6-litre engine lacks torque to push the heavy drop-top along, but it's a refined unit and the chunky gearshift is a pleasure to use – while excellent traction helps the 0-60mph dash. Cooper S models, with a supercharger, are high-performance gems – and with their distinctive supercharger whine, are real entertainers.

Marketplace
While the regular MINI hatchback has been replaced by an all-new version, the old cabrio soldiers on for a while yet. So will this put buyers off? Not if our unscientific poll is anything to go by; the MINI still received plenty of attention, which isn’t bad for a model approaching replacement and fitted with a defiantly old-fashioned canvass roof. Mind you, so it should, given how much it costs. The MINI may boast amazing residual values, but list prices are very high and spec levels are mean. It’s galling, for example, than MINI still charges extra for essentials such as air-con. Rivals offer better value – among them are the Peugeot 207 CC, Mitsubishi Colt CZC, Nissan Micra C+C and Vauxhall Tigra.

Owning
Look beyond the obvious charms of the MINI and there are flaws. Although most car makers usually choose canvas over folding metal roofs to leave more boot space, the MINI offers only 120 litres – and that’s with the roof up! You can fold down the back seats, but there’s no load cover to keep your belongings out of sight. Even worse, the fast-folding hood arrangement doesn’t tuck itself away when folded flat. Instead, you’re left with a pram-like arrangement which not only looks ungainly but hampers visibility. Thanks to the thick C-pillars and tiny back windows, the cabin is dark with the roof up too, and rear three-quarter vision is virtually non-existent. Reversing is hit and miss too; you can see why parking sensors are standard. On the positive side, the dashboard remains a great piece of design. But even here, the driving position draws negatives. A lack of reach adjustment for the steering wheel is disappointing, and taller owners will struggle to get the chunky rim away from their knees. What’s more, while headroom up front is good, the rear chairs are little more than stowage bins with seatbelts. The old-tech engines lack the newer hatchback’s superb economy as well, though retained values are first-class and, as ever, the tlc servicing deal slashes maintenance costs.

(source from www.autoexpress.co.uk/)

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

Fiat 500 ซิตี้คาร์ตัวจริงคืนชีพ

ผลผลิตจากต้นแบบที่ชื่อเทรปิอูโน (Trepiuno) ที่เปิดตัวในปี 2004 สุดท้ายก็กลายมาเป็นรถยนต์ในสายการผลิตจนได้ เมื่อเฟียตเดินหน้าพัฒนาโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และสานฝันของแฟนๆ ค่ายเฟียตที่อยากเห็นการกลับมาของซิตี้คาร์รุ่นคลาสสิคอย่าง 500 โดยนำแฮทช์แบ็ก 3 ประตูรุ่นนี้มาปรับปรุงหน้าตาและส่งขายโดยใช้ชื่อ 500 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 50 ปีนับจากเฟียตเปิดตัว 500 รุ่นดั้งเดิมออกมาในปี 1957

การเปิดตัวครั้งใหม่ก็ยังอิงอยู่กับความสำเร็จในอดีต และเหมือนกับจุดเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะสาเหตุที่เฟียตเลือกวันที่ 4 กรกฎาคมเป็นวันเปิดตัวของ 500 ใหม่ก็ไม่ใช่เพราะเป็นวันชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ในวันนี้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เฟียต 500 รุ่นดั้งเดิมได้ถูกเปิดตัวออกสู่ตลาดนั่นเอง ก่อน ที่ซิตี้คาร์รุ่นนี้จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วโลก และกลายเป็นรถยนต์คลาสสิคที่เปรียบเสมือนกับไอคอนของบริษัท เหมือนกับที่โฟล์คสวาเกนมีโฟล์คเต่ารุ่นแรก

ในเมื่อ 500 ใหม่ถูกตั้งเป้าหมายให้เป็นรถยนต์สำหรับคนทั่วโลก เฟียตก็เลยจัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อระดมสมองและความต้องการของแฟนๆ จากทั่วทุกภูมิภาค ก่อนที่จะมีความเห็นมากกว่า 3 ล้านความเห็นถูกส่งมา และทางทีมพัฒนาจำเป็นที่จะต้องกลั่นกรองเอาไอเดียที่แจ่มที่สุดมาใช้ในการ พัฒนาแต่ละส่วนของตัวรถตามสโลแกนที่ว่า ‘500 คือ รถยนต์ของประชาชน (ที่ร่วมพัฒนา) โดยประชาชน’ หรือ ‘The 500, the car of the people, by the people’

การ พัฒนามีขึ้นบนพื้นตัวถังแบบขับเคลื่อนล้อหน้าของรุ่นแพนด้า (ซึ่งฟอร์ดจะนำไปใช้ในการพัฒนาโฉมใหม่ของรุ่นกา-Ka ด้วยเช่นกัน) และตัวรถก็คงเอกลักษณ์ในแบบแฮทช์แบ็กทรง 3 ประตูที่มีโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าและหลังสั้นเพื่อความคล่องตัวในการขับขี่ใน เมือง โดยตัวถังมีความยาวเพียง 3,546 มิลลิเมตร กว้าง 1,627 มิลลิเมตร สูง 1,488 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,300 มิลลิเมตร พร้อมกับน้ำหนักตัวรถที่เบามาก เพียง 865-930 กิโลกรัมเท่านั้น

อีกทั้งยังมั่นใจในความปลอดภัยได้ เพราะแม้จะเป็นรถยนต์ไซส์เล็ก แต่ก็ผ่านการทดสอบชนจาก EuroNCAP ด้วย ระดับการปกป้องผู้ขับและผู้โดยสารสูงสุด 5 ดาว พร้อมกับติดตั้งทุกถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น (สำหรับสเปกที่ขายในอิตาลี) ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเบาะหน้าแบบพองตัวได้ 2 ระดับทั้งคู่, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า

ในช่วงแรกที่ทำตลาดมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบและมีค่ามลพิษในไอเสียต่ำ และประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม สามารถผ่านมาตรฐานไอเสียในระดับยูโร 4 โดยรุ่นเบนซินมี 2 แบบ คือ 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว 1,200 ซีซี 69 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.4 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาทีจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือแบบธรรมดา 5 จังหวะแต่ใช้คลัตช์ไฟฟ้า Dualogic มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร//ชั่วโมงใน 12.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง

อีกรุ่นเป็นทวินแคม 1,400 ซีซี 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.4 กก.-ม. ที่ 4,250 รอบ/นาที เลือกได้ระหว่างเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือแบบ Dualogic มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร//ชั่วโมงใน 10.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 182 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ รุ่นเทอร์โบดีเซลคอมมอนเรลในตระกูล Multijet ของเฟียตแบบ 4 สูบ ทวินแคม 1,300 ซีซี 75 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม. ที่ 1,500 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร//ชั่วโมงใน 12.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ระบบ กันสะเทือนให้ความมั่นใจด้วยระบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัทสำหรับด้านหน้า และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ส่วนระบบเบรกเฉพาะรุ่น 1,400 ซีซีเป็นแบบดิสก์ 4 ล้อ ส่วนที่เหลือเป็นแบบดิสก์หน้า และดรัมเบรกด้านหลัง โดยที่ระบบพวงมาลัยติดตั้งเพาเวอร์ไฟฟ้าสำหรับช่วยผ่อนแรง

นอกจากนั้น เฟียตยังสร้างความแปลกใหม่ในการตกแต่งให้กับ 500 ใหม่ ด้วยการผลิตชุดแต่งมากกว่า 100 รายการและโทนสีต่างๆ ออกมาให้เลือกจับคู่กันตามความต้องการของลูกค้า

เปิด ตัวและเริ่มขายในยุโรปแล้ว โดยจะมีทั้งรุ่นพวงมาลัยซ้ายและขวากับราคาที่คาดว่าจะอยู่ในระหว่าง 8,000-9,000 ปอนด์ หรือ 560,000-630,000 บาท ส่วนใครที่รอตัวแรงในเวอร์ชันอาบาร์ธ อดใจอีกไม่นาน และคาดว่าจะทะยานกับสมรรถนะอันเร้าใจด้วยตัวเลขแรงม้าที่มากถึง 150 ตัวเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

"วีออส เอส-ลิมิเต็ด"คม-เข้ม แต่ไม่เร้าใจ

การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมถือเป็นเรื่อง สำคัญยิ่ง โดยเฉพาะรถยนต์ที่ต่อให้มีจุดเด่น ข้อดีแค่ไหน แต่ถ้าสื่อสารกับผู้บริโภคผิด การตลาดไม่เข้าถึง ราคาไม่โดนใจ อาจทำให้ยอดขายแป้กไม่เป็นท่า ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วกับ “นิสสัน ทีด้า” ที่วันนี้ต้องมานั่งนับหนึ่งใหม่

ขณะที่โตโยต้าก็เคยสุ่มเสี่ยง หลังการเปิดตัว ‘ยาริส’ (17 ม.ค.2549)โดยวางตำแหน่งสินค้าให้อยู่ระดับพรีเมี่ยม กับค่าหัวที่บางคนบ่นว่าสูงไป(เมื่อเทียบกับขนาด และสิ่งที่ได้รับ) เริ่มต้น 5.99-7.49 แสนบาท ส่งผลให้หลายคนที่รอละล้าละลังยังไม่กล้าควักเงินซื้อ แต่ด้วยความเป็นยักษ์ใหญ่มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการสูง และชื่อชั้นอย่างโตโยต้า นั้นเชื่อขนมกินได้อยู่แล้ว จากความเชื่อถือในแบรนด์ รวมถึงค่าอะไหล่ และราคาขายต่อ เมื่อบวกกับแผนการตลาดเขี้ยวๆ อัดแคมเปญนิดหน่อย พอรถมีวิ่งบนท้องถนนมากขึ้น ความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคก็กลับมา

ล่า สุดกับ วีออส ใหม่ ที่เปิดตัวในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กับ6รุ่นย่อย ราคา 5.09 – 6.99 แสนบาท และเสริมพิเศษอีกสองรุ่นคือ เอส-ลิมิเต็ด แนวสปอร์ตราคา 7.49 แสนบาท และ จี-ลิมิเต็ด หรูหราออปชั่นเพียบราคา 7.39 แสนบาท

ตรงนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความเก๋าของโตโยต้า จากการวางระดับสินค้าหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค พร้อมๆกับศักยภาพของโรงงานเกตเวย์ ที่มีความยืดหยุ่นสูง และกำลังการผลิตมากพอ จึงไม่เป็นปัญหาในการแยกรุ่นยิบย่อย....เมื่อการผลิต แผนการตลาด การขายพร้อม ทีนี้คงมาถึงเรื่องโปรดักส์ว่าจะเจ๋งแค่ไหน ซึ่งวันนี้ “ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง” มีบททดสอบรุ่น เอส-ลิมิเต็ด ตัวท็อปของสายพันธ์วีออสมาฝาก

เอส-ลิมิเต็ด ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2007 โดยเป็นรุ่นที่เพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งเพื่อความสปอร์ต ทั้งสเกิร์ตหน้า-ข้าง สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED รวมถึงไฟหน้า HID ปรับลำแสงอัตโนมัติ เสริมความมั่นใจกับดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ขณะที่ภายในแต่งให้เร้าอารมณ์กับสีดำจากเบาะหนัง และแผงคอนโซล ส่วนหน้าปัดก็สดใสด้วยมาตรวัดเรืองแสงแบบออปตริตรอน

ต้องยอมรับว่าชุดแต่งที่เพิ่มเข้ามา ส่งผลให้หน้าตาของ‘วีออส’ดูคมเข้มขึ้นมาอีกนิด แต่อย่างว่าครับใครจะชอบไม่ชอบก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล (ไม่อย่างนั้นเถียงกันตาย) แต่สำหรับผมจุดเล็กๆที่โดนใจของ วีออส ใหม่ อีกประการคือ ตัวหนังสือด้านท้าย ที่ไม่เลอะเทอะ รกตาเหมือนรุ่นก่อน (หรือโมเดลอื่นๆของโตโยต้า) คือจะมีชื่อรุ่น (VIOS) และรุ่นย่อย (J,E,G,G-Limited,S-Limited) แค่นั้นจบ ซึ่งดูแล้วเรียบๆสบายตาดี

ใน รุ่น เอส-ลิมิเต็ด ถึงแม้จะใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE VVT-i ขนาด 1500 ซีซี ให้กำลังสูงสุด109 แรงม้า ที่ 6000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4200 รอบต่อนาที เหมือนรุ่นย่อยอื่นๆ และไม่ได้ปรับแต่งอะไรเป็นพิเศษ แต่สำหรับช่วงล่างนั้นได้เซ็ทให้แข็งขึ้นเล็กน้อย

โทชิโอะ ซูซูกิ หัวหน้าวิศวกร โตโยต้า มอเตอร์ คอร์เปอร์เรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (TMC) ที่มาร่วมงานเปิดตัว วีออส ใหม่ เคยเล่าให้ฟังว่า แฟลตฟอร์มของ วีออส (ยาริส) จะเป็นแบบเดียวกันทั่วโลก แต่จะเซ็ทช่วงล่างให้ต่างกัน 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับประเทศ และภูมิภาคนั้นๆ ซึ่งวีออสในไทย เขาก็ไม่ได้บอกว่าอยู่ระดับไหน แต่ที่แน่ๆรุ่น เอส-ลิมิเต็ด จะมีการปรับให้มีความสปอร์ตมากขึ้น

สำหรับความรู้สึกในการขับจริงก็ใกล้เคียงกับที่“ซูซูกิซัง”บอก เพราะดูจะหนึบกว่ารุ่นธรรมดานิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับดิบแข็งมากมาย ทั้งการเข้าโค้งสั้น โค้งยาว ทำได้มั่นคง หรือขับทางตรงยาวๆใช้ความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังนิ่งใช้ได้ แต่ประเด็นคงต้องมองไปถึงสปอยเลอร์ที่ติดมาให้รอบคัน ซึ่งมีผลกับแอโรไดนามิค และน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนการออกตัว หรืออัตราเร่งในความเร็วต่ำ ไต่ ไปถึงระดับ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นออกแนวอืดๆไปนิด ไม่ทะยานทันใจนัก และต้องเข่นขยี้คันเร่งหนักหน่อย จังหวะแซงต้องคิกดาวน์บ่อยครั้ง และเพื่อระยะไว้บ้าง ขณะเดียวกันเวลากระทืบคันเร่งสั่งให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น มันก็จะร้องโอดโอยกลับมาด้วยเสียงดังพอสมควร

ด้านความเร็วปลายยังไหลไปได้สบายๆ ส่วนพวงมาลัยถึงแม้จะเบามือไปนิด(ใช้บ่อยๆน่าจะชิน) แต่ทำงานได้อย่างตรงไปตรงมา บวกกับคันเกียร์แบบขั้นบันไดใช้งานคล่อง ถึงแม้จังหวะเปลี่ยนเกียร์จะไม่นุ่มนวลเสียทีเดียว ขณะที่ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ นั้นเรียกว่าเหยียบเป็นจับ ขับแล้วมั่นใจกับระยะเบรกที่ไม่ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด ทั้งยังเสริมความปลอดภัยด้วย ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBDและเสริมแรงเบรก BA

รวบรัดตัดความ...วีออส ถูกวางระดับให้ต่ำกว่าพี่น้องร่วมท้องอย่าง ยาริส และตั้งใจให้เป็นรถครอบครัว ขับง่าย ใช้คล่องในเมือง ส่วนเรื่องสปอร์ตอาจเป็นเรื่องรอง เพราะถึงแม้รุ่น เอส-ลิมิเต็ดจะใส่ชุดแต่งมาให้เพียบ แต่ล้ออัลลอยก็ยังให้แค่ขนาด 15 นิ้ว ขณะที่ ยาริส รุ่น เอส-ลิมิเต็ด เป็น 16 นิ้ว...ดังนั้นถ้าโจทย์ของความสปอร์ตคือความรู้สึกจากการตกแต่ง ภายในและภายนอกแล้ว ถือว่า เอส-ลิมิเต็ด ทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่ถ้าโจทย์เป็นความสนุกจากการขับต้องบอกว่ายังไม่เร้าใจเท่าที่ควร

ที่มาจาก Manager.co.th

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ทดสอบ 'นิววีออส' เพิ่มความเนียน ท้าทายรถประหยัด

ลอง ย้อนความรู้สึกเราๆ ท่านๆ ตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา เห็นด้วยกับผมไหมว่า เราเริ่มคุ้นเคยกับราคาน้ำมันที่สูงบ้างต่ำบ้าง เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครรีบร้อนไปเติมน้ำมัน แม้วิทยุจะประกาศว่าพรุ่งนี้ ราคาน้ำมันจะขยับขึ้น เหตุผล คือ เริ่มมองว่ามันไม่คุ้มกับการตุนน้ำมันเต็มถัง 60 ลิตร 70 ลิตร แล้วได้ส่วนต่างไม่กี่บาท ความเคยเช่นนั้นเกิดขึ้นกับคนขับรถทั่วไปไม่เว้น รถเล็กรถใหญ่

10 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถ บ้านเรา นอกจากปิกอัพจะครองตลาดแล้ว รถขนาดเล็กก็โตวันโตคืน รถราคาประหยัด ครอบครองได้ง่าย ซึ่งโตโยต้า เป็นค่ายแรกที่ขายรถในแนวทางนี้ รถที่จำกันได้ดี คือ โตโยต้า โซลูน่า เก๋งรูปทรงเหลี่ยมจัด ซึ่งทั้งสายการผลิตและการพัฒนาทำกันในประเทศไทย รถสมัยนั้นไม่เรียกกันว่า ซับคอมแพค คำนี้เพิ่งจะมาฮิตได้ไม่นานมานี้ครับ

โซลูน่า มาพร้อมกับคำว่า มอเตอร์ไรเซชั่น หรือยุคที่คนในสังคมไทยสามารถเป็นเจ้าของรถได้ง่าย ด้วยการที่ผู้ผลิตสร้าง ผลิตภัณฑ์ออกมาให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดยุคมอเตอร์ไรเซชั่น ของไทย เช่นนี้เคยเกิดมาแล้วในญี่ปุ่นเมื่อ 20 ปี ก่อนซึ่งแสดงให้เห็นว่า สภาพเศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมซื้อ การใช้รถของเราพัฒนาตามหลังเขาอยู่ 20 ปี

นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้วครับ อย่างไรก็ตาม ด้วยกลไกของโลกไร้พรมแดนและเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนแปลงไป หลังเกิดมอเตอร์ไรเซชั่น ไม่นาน เราก็พัฒนาสู่ยุคทันสมัยได้ในเวลาสั้นๆ เห็นได้จากวิศวกรรมของรถยุคมอเตอร์ไรเซชั่น มาวันนี้ ไม่มีให้เห็นแล้ว

เช่น การเย็บเบาะกับหมอนรองให้เป็นชิ้นเดียวกัน ซึ่งเป็นการลดต้นทุนอย่างหยาบๆ เพื่อให้รถราคาต่ำลง หรือการออกแบบวิศวกรรมเพื่อลดค่าซ่อมค่าบำรุงรักษา เช่น การทำกันชน แยกออกเป็น 3 ชิ้น ก็กลายมาเป็นชิ้นเดียวขึ้นรูปทำหน้าที่ทั้งกันชน กระจังหน้า กาบข้าง และแอร์แดม เป็นต้น

วันนี้ ผู้ผลิตรถไม่ห่วงเรื่องใหญ่ๆ คือคนไม่มีเงินซื้อกับคนไม่มีเงินซ่อม เขาตัดเรื่องไม่มีเงินซ่อมออกไป เพราะว่าระบบประกันภัยพัฒนาขึ้น คงเหลือแต่เรื่องไม่มีเงินซื้อ ซึ่งเวลานี้เศรษฐกิจรวมนั้น ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลขิงแก่ล่ะคราวนี้จะผลักจะดันให้เงินทองสะพัดได้อย่าง ไร

สำหรับรถที่เป็นรอยต่อของมอเตอร์ไรเซชั่น ล่าสุดคือ โตโยต้า วีออส ซึ่งโตโยต้า มอเตอร์ เปิดตัว เป็นเจเนอเรชั่น 3 ในกลุ่มรถที่ผมกล่าว และก็ได้จัดให้สื่อมวลชนทดลองขับกัน ในเส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

วีออส ใหม่นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับโมเดลเชนจ์ คือเปลี่ยนใหม่หมดจดแต่เท่าที่ดูสัดส่วนของเก่า คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แล้วยังค่อนข้างมาก หลักๆ ที่วีออสเปลี่ยนคือ แพ็คเกจจิ้ง หรือโครงตัวถัง และการเซตติ้งต่างๆ ในส่วนของตัวถัง วีออสมีขนาดตัวรถภายนอกยาวกว่าโซลูน่า 15 มิลลิเมตร สั้นกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างฮอนด้า ซิตี้ 90 มิลลิเมตร ความกว้าง กว้างกว่ารุ่นเดิม 5 มิลลิเมตร กว้างกว่าซิตี้ 10 มิลลิเมตร สูงกว่ารุ่นเดิม 25 มิลลิเมตร แต่เตี้ยกว่า ซิตี้ 25 มิลลิเมตร ขณะที่ห้องโดยสารภายในนั้น โตโยต้าระบุว่า มีความยาวเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 120 มิลลิเมตร และยาวกว่าคู่แข่ง 10 มิลลิเมตร เรียกว่าใกล้เคียงกับคู่แข่ง

ส่วนระบบหลัก คือ เครื่องยนต์ 1NZ-FE VVT-i DOHC 1500 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว...กำลังม้าสูงสุด 80 กิโลวัตต์ (109 แรงม้า) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร (14.5 กก.-ม.) ที่ 4,200 รอบต่อนาที และระบบขับเคลื่อน ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ ยังเป็นชุดเดิม ส่วนที่เป็นการพัฒนาขึ้นมาเพิ่มเติม เช่น ระบบคันไม่มีสายเคเบิล แต่เป็นการใช้ระบบไฟฟ้า ระบบช่วยเบรกบีเอ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า เป็นต้น

ส่วนการเซตรถ วีออสคงได้วิจัยคนขับคนไทย มากขึ้นโดยเฉพาะรถเล็ก ซึ่งพี่ไทยเท้าหนักกดดันเต็มพิกัด ดังนั้น รถใหม่จะตั้งให้คนขับ รู้สึกว่า พวงมาลัยกระชับขึ้น ช่วงล่างทั้งชุดเซตให้เป็นแบบ สปอร์ตมากกว่าเดิม เพื่อรองรับการขับที่ความเร็วสูง

วีออสต้องมองกันหลายมุมครับ เพราะว่าวีออสใหม่ก็นำเอาจุดด้อยที่คนใช้ไม่ชอบ มาแก้ไข พร้อมเติมของใหม่ๆ ลงไป หากมองความลงตัวของรถระดับเดียวกัน จะพบว่า รถมีสมดุลในการออกแบบมากขึ้น ระยะล้อหน้าล้อหลัง กับระยะโอเวอร์แฮงค์ ดูแล้วกระชับ ส่วนนี้ทำได้ดีเพราะว่า การปั้นกันชนหน้าหลังแบบขึ้นรูป ชิ้นใหญ่ ทำให้ทรวดทรงดูลงตัว ซึ่งให้ความรู้สึกหรูด้วย

มาดูอุปกรณ์ภายในเล็กน้อย จะเห็นว่า วีออสเริ่มฉีกแนวเดิมๆ อย่าลืมว่ารถในตลาดนี้แนวคิดเดิมคือ ความประหยัด ทั้งการซื้อและการใช้ คนขายต้องขายรถในราคาที่ไม่สูงนัก เพราะคนซื้อกลุ่มนี้เงินน้อย แต่ว่าวีออสได้เติมเต็มความเนียนให้วัสดุในรถให้เพิ่มเกรดขึ้น มีความหรูหรามากขึ้น และหากดูไลน์อัพ จะพบว่า มีบางรุ่นให้อุปกรณ์มาตรฐานไม่แพ้รถรุ่นคัมรี่ เช่น ระบบ สตาร์ทแบบกดปุ่ม ระบบกุญแจอัจฉริยะ (เข้าออกประตูไม่ใช้กุญแจ) เป็นต้น คงทราบกันว่า โตโยต้านั้นใช้ชิ้นส่วนพื้นฐานร่วมกันหลายรุ่น ตลาดรถเล็ก ที่มีจำนวนมากจากความนิยมในตลาด ทำให้เริ่มมีความคุ้มค่าในแง่ของการผลิต นั่นคือที่มา

ข้อ เด่นในรถคันนี้อยู่ที่การไหลลื่นต่อเนื่องในการบังคับควบคุม ง่ายต่อการขับ (EASY To Drive) ซึ่งเป็นหัวใจของรถในเมือง การควบคุมรถทำได้ดีขึ้น อัตราเร่งแซง เบรก ให้ความรู้สึกที่เป็นจริงมาตามสั่ง

กำลังมาต่อเนื่องในเกียร์ต่ำ แต่เครื่องยนต์จัดจ้าน ไม่ว่าจะเค้นขนาดไหน เสียงดังที่ได้ยิน ไม่ถึงกับเพราะแต่ไม่น่ารำคาญ

ส่วนเสถียรภาพของการทรงตัวในทางตรง ความเร็วเดินทางไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ต้องใช้ทักษะการคุมรถ หากเพิ่มความเร็วขึ้นไปจะต้องเพิ่มทักษะมากขึ้น ตามความเร็วที่เพิ่มความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวรถอาจจะไม่โดด เด่นมาก

การปรับปรุงในวีออสใหม่ ที่เด่นอีกอย่าง คือ ความเงียบของเสียง จากถนนและเสียงลมทำได้ดี มาก นอกจากนี้ยังปรับช่องว่างการวางขา ทั้งคนนั่งเบาะหน้าและเบาะหลังมากขึ้น รวมแล้วเท้าสบาย ขยับง่าย

แต่หากจะให้ดีกว่านี้ หากสามารถปรับองศาเบาะหลัง เอนมากกว่านี้หน่อย หรือทำเบาะยกขอบเป็นกึ่งบักเก็ตซีท การนั่งโดยสารจะสบายกว่า และวีออสจะไม่ได้ยินเสียงติที่หลายคนพูดตรงกันในเรื่องนี้อีกเลยครับ


ที่มาจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ